วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แนวโน้มของแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว

แนวโน้มของแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว
1. แรงจูงใจที่จะได้สัมผัสสิ่งแวดล้อม
2. แรงจูงใจที่จะได้พบปะกับคนในท้องถิ่น
3. แรงจูงใจที่จะที่จะเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและประเทศเจ้าบ้าน
4. แรงจูงใจที่จะเสริมสร้างสัมพันธภาพภายในครอบรัว
5. แรงจูงใจที่จะได้พักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่น่าสบาย
6. แรงจูงใจที่จะที่จะได้ทำกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสนใจและฝึกทักษะ
7. แรงจูงใจที่จะมีสุขภาพดี
8. แรงจูงใจที่จะได้รับการคุ้มกันความปลอดภัย
9. แรงจูงใจที่จะได้รับการยอมรับนับถือและได้รับสถานภาพทางสังคม
10. แรงจูงใจที่จะให้รางวัลแก่ตัวเอง
โครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
“โครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” หมายถึง องศ์ประกอบพื้นฐานในการรองรับการท่องเที่ยวทั้งระบบถือเป็นส่วนการสนับสนุนให้การท่องเที่ยวสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี และ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
โครงสร้างพื้นฐานหลัก ๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้แก่
1. ระบบไฟฟ้า
2. ระบบประปา
3. ระบบสือสารโทรคมนาคม
4. ระบบการขนส่ง(ประกอบไปด้วย)
(4.1) ระบบการเดินทางอากาศ
(4.2) ระบบการเดินทางทางบก
(4.3) ระบบการเดินทางทางน้ำ
5. ระบบสาธารณสุข
ปัจจัยที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาค
สภาพแวดล้อม ลักษณะ ทางวัฒนธรรม ที่มนุษย์มักต้องการเดินทางท่องเที่ยวไปยังบริเวณต่าง ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากที่ตนเองอาศัยอยู่ ส่งผลให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไปยังบริเวณ ๆ บนผิวโลก
1. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสร้างสรรค์ภูมิทัศน์ที่เป็นสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวได้เป็นอย่สงมาก
1.1 ลักษณะภูมิประเทศ
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกมีได้ 2 ลักษณะ คือ
1) การเปลี่ยนแปลงจากภายในเปลือกโลก เช่น ภูเขาหรือภูเขาไฟ ซึ่งเกิดจากการตันตัวของความร้อนใต้ผิวโลก
2) การเปลี่ยนแปลงทางบริเวณผิวโลก เช่น เนินทราย (Sand Dune) ในทะเลทรายซึ่งเกิดจากลมที่พัดนำทรายมากองรวมกันเป็นเนิน
1.2 ลักษณะภูมิอากาศ
เช่นเดียวกับลักษณะภูมิประเทศ กล่าวคือ พื้นที่ที่ตั้งอยู่แตกต่างกันเมื่อพิจารณาตามส้นแลตติจูด (latitude) เช่นซีกโลกเหนือกับลบริเรณเส้นแบ่งกลางโลกหรือเส้นศูนย์สูตรจะมีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกัน เช่นในช่วงเดือนธันวาคม ซีกโลกเหนือเช่นประเทศฟินแนด์เป็นฤดูหนาวที่หวานจัด
2. ปัจจัยทางวัฒนธรรม
วัฒนธรรม หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม นับตั้งแต่วิธีกิน วิธีอยู่ วิธี แต่งกาย วิธีทำงาน วิธีพักผ่อน วิธีแสดงอารมณ์ วิธีสื่อความ วิธีจรจรและขนส่ง วิธีอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ และความสุขทางใจ โดยแนวทางการแสดงออกถึงวิถีชีวิตนั้นอาจเริ่มมาจาก เอกชนหรือบุคคลทำเป็นตัวแบบ แล้วคนส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติต่อกันมา วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลง ไปตามเงื่อนไขและกาลเวลาเมื่อค้นพบสิ่งใหม่ วิธีใหม่ที่ใช้แก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคมได้ดีกว่า
การอนุรักษ์วัฒนธรรมดังเดิมของแต่ละชาติเปลี่ยนแปลงได้ และแต่ละชาติมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การที่วัฒนธรรมแตกต่างกันย่อมเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้กับคนต่างวัฒนธรรมเขามาเที่ยวชมความแตกต่างดังกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สรุปบทเรียน

บทที่ 1

ความหมาย ความสำคัญของท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว คือ ผู้มาเยือนชั่วคราว และพักอาศัย ณ สถานที่ที่ไปเยี่ยมอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
กลุ่มนักท่องเที่ยว ได้แก่
- ผู้ที่ถิ่นพำนักอยู่ในสถานที่ที่ไปเยือน
- ผู้ที่มีสัญชาติของประเทศนั้น
- ผู้ที่เป็นลูกเรือ ซึ่งไม่มีถิ่นพำนักในสถานที่ที่ไปเยือนมากกว่า 24 ชั่วโมง
สามารถแบ่งผู้มาเยือนตามถิ่นพำนักได้อีกเช่นกัน ได้แก่
1.ผู้มาเยื่อนขาเข้า
2.ผู่มาเยือนขาออก
3.ผู้มาเยือนภายในประเทศ
วัตถุประสงค์ของการเดินทางท่องเที่ยวแบ่งออกได้ 3 ประการใหญ่ๆ ได้แก่
1.เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานและพักผ่อน
2.เพื่อธุรกิจ
3.เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
การเดินทางเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานและพักผ่อน
เป็นการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์ต้องการความเพลิดเพลิน สนุกสนาน รื่นเริง ทั้งนี้รวมถึงการเยี่ยมเยือนเพื่อนหรือญาติมิตร
การเดินทางเพื่อธุรกิจ
เป็นการเดินทางที่ควบคู่ไปกับการทำงานแต่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบอาชีพ นอกจากนี้ยังมีความหมายรวมถึงการเดินทางเพื่อเข้าประชุม สัมมานาท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลและจัดนิทรรศการ หรือเรียกว่า MICE
ประเภทการท่องเที่ยว แบ่งตามสากลได้แก่
1.การท่องเที่ยวภายในประเทศ
2.การท่องเที่ยวเข้าในประเทศ
3.การท่องเที่ยวนอกประเทศ
การแบ่งตามลักษณะการจัดการเดินทาง แบ่งออกเป็น
1.การท่องเที่ยวแบบหมู่คณธหรือที่เรียกว่า Group Inclusive Tour การท่องเที่ยวแบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ กรุปเหมา และกรุปจัด กรุปเหมา
2.การท่องเที่ยวแบบอิสระ เรียกว่า Foreign IndiviDual Tour
การแบ่งตามวัตถุประสงค์การเดินทาง
1.การท่องเที่ยวเพื่อความเพลิดเพลินและพักผ่อน
2.การท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจ
3.การท่องเที่ยวเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ
-การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
-การท่องเที่ยวสุขภาพและกีฬา
-การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม
-การท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสชาติพันธุ์และวัฒนธรรมพื้นถิ่น
-การท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา





บทที่ 2

ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวจากยุคเริ่มต้น
ถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

วัฒนธรรมของจักรวรรดิโรมันทำให้เกิดวัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบมหาชนในคริสต์ศตวรรษที่ 2 โรมถึงจุดสูงสุดของความรุ่งเรืองจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวโรมันในยุดนั้น คือ กรีก ชาวโรมันนิยมเส้นทางไปชมความสำเร็จทางศิลปะวิทยาการของชาวกรีก

มัคคุเทศก์และคู่มือเที่ยวในยุคต้นๆ
ความถูกต้องของข้อมูลและมัคคุเทศก์ในสมัยก่อนครสตกาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 พวกด้วยกัน พวกแรกคือ พวกที่เรียกว่า Periegetai มีหน้าที่คอยต้อนฝูงนักท่องเที่ยวให้เข้ากลุ่มส่วนอีกพวกหนึ่งเรียกว่า Exegetai เป็นพวกที่ให้ข้อมูลเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินค่าตอบแทน

การท่องเที่ยวในยุคกลาง
ยุคกลางคือช่วงที่อยู่ระหว่าง คศ.500-1500 ช่วงเวลาดังกล่าวถนนหนทางถูกปล่อยให้ทรุดโทรมเศรษฐตกต่ำแต่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกยังคงเป็นศูนย์รวมของสังคมและอำนาจการเดินทางมีความลำบากมากขึ้นและอันตรายมากขึ้น วันหยุดเริ่มเข้ามีบทบาทในชีวิตของผู้คน คำว่า Holiday มีที่มาจากคำว่า Holy Days ศาสนาโรมันคาทอลิคเป็นผู้กำหนดช่วงเวลาการหยุดเพื่อการพักผ่อนให้กับผู้ที่ศรัทธา
คนชั้นสูงและคนชั้นกลางนิยมเดินทางเพื่อการแสวงบุญ เป็นการเดินทางที่ไกลขึ้นสำหรับผู้ที่เคร่งศาสนาที่ที่ผู้เสื่อมใสนิยมเดินทางไปได้แก่เมือง Winchester เมือง Walsingha และเมือง Canterbury จนกวีชื่อ Chaucer นำมาแต่งเป็นนิทานชื่อ Canterbury's Tales
นอกจากนักแสวงบุญแล้วในยุคกลางยังมีนักเดินทางประเภทนักผจญภัยซึ่งเดินทางเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ พวกพ่อค้าเดินทางเพื่อค้าขาย พวกละครเร่ นักร้องนักดนตรี ยังชีพอยู่ได้ด้วยการให้ความบันเทิงเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ศิลปินที่เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นคือ Blondel ชาวเมือง Picardy





บทที่ 3

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเดินทางนักท่องเที่ยว

แรงจูงใจ
เป็นตัวกำหนดบุคลิกภาพของบุคคลแรงจูงใจทางด้านการท่องเที่ยว หรือแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวเป็นแนวคิดที่เป็นแบบลูกผสมระหว่างแนวคิดทางจิตวิทยาผสมกับแนวคิดทางด้านสังคมวิทยา แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวจึงหมายถึงเครื่อข่าย ทั้งหมดขอพลังทามวัฒนธรรมและพลังทางชีววิทยา ซึ่งเป็นตัวกำหนอพฤติกรรมทางการท่องเที่ยว แรงจูงใจทีจะมาสัมผัสพื้นทรายล้วนเป็นพลังทางจิตวิทยา การเลือกที่จะมาพักผ่อนยังเกาะสมุยแทนที่จะไปอาบแดดและพักผ่อนที่ริเวียร่าของฝรั่งเศสอยู่ใกล้กว่าเพราะเป็นพลังทางด้านสังคมวิทยา
พลังทางด้านจิตวิทยา คือ ความต้องการการพักผ่อนจากความเหน็ดหน่อยจากการทำงาน
ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว
1.ทฤษฎีลำดับขั้นแห่งความต้องการจำเป็น เป็นทฤษฎีของ Maslow ได้แก่ ความต้องการทางด้านสรีรวิทยา ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความต้องการทางด้ารสังคม ความต้องการมีชื่อเสียง ความต้องการการสำเร็จ
2.ทฤษฎีแบบขั้นบันไดแห่งการเดินทาง เป็นทฤษฎีของ Philip Pearce โดยประยุกต์จากทฤษฎีของ Maslow ความต้องการในชั้นสูงสุดคือ ความต้องการความสำเร็จแห่งตนหรือความต้องการที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
3.แรงจูงใจวาระซ่อนเร้น เป็นทฤษฎ๊ของ Crompton มี 7 ประเภทดังต่อไปนี้
-การหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่จำเจ
-การสำรวจและการประเมินตน
-การพักผ่อน
-ความต้องการเกียรติภูมิ
-ความต้องการที่จะถ้อบกลับไปสู่สภาพดังเดิม
-กระชับความสัมพันธ์ทางเครือญาติ
-การเสริมสร้างการปะทะสังสรรค์ทางสังคม
4.แรงจูงใจทางการท่องเที่ยวในทัศนะของ Swarbrooke
-แรงจูงใจทางด้านสรีระหรือทางกายภาพ
-แรงจูงใจทางด้ายวัฒนธรรม
-การท่องเที่ยวเพื่อตอยสนองอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง
-การท่องเที่ยวเพื่อให้ได้มาเพื่อสถานภาพ
-แรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง
-แรงจูงใจส่วนบุคคล

หลักฐานของปิ่นโต

ประวัติของปิ่นโต

บันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต( Fernão Mendez Pinto ค.ศ.1509-1583) เรื่อง “Pérégrinação”ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปีค.ศ.1614 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ รวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ จนมีการใช้ชื่อของปินโตเล่นคำเชิงล้อเลียนว่าพูดจริงหรือเท็จอย่างสนุกสนานโดยชนชาติศัตรูของโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงบทบาทของทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส และการพระราชทานที่ดินให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานและปฏิบัติศาสนพิธีในสมัยอยุธยา จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบว่าหนังสือฉบับนี้มีสถานะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือเป็นเพียงนิยายผจญภัย
ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์ในราชอาณาจักรโปรตุเกส เกิดในครอบครัวยากจน การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว ในประเทษอินเดีย ค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี แล้วเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1558 รวมระยะเวลา 21 ปี ที่ปินโตได้ไปแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้งและถูกจับเป็นทาส 13 ครั้ง ชีวิตของปินโตในขณะอยู่ในเอเชีย เขาเคยเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนภาษา เมื่อเดินทางกลับถึงโปตุเกส เขาพยามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล จากการที่เขาได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนา แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ทางตอนใต้ของโปรตุเกส และได้เขียนหนังสือชื่อว่า Pérégrinaçãoขึ้น
ปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราช ครั้งที่ 2 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง Pérégrinação ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน จนกษัตริย์ฟิลิปที่ 1 ทรงได้ทอดพระเนตร บุตรีของปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา งานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ใน ค.ศ.1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วนในชื่อ "การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นัง มังเดซ ปินโต ค.ศ.1537-1558" แปลโดยสันต์ ท.โกมลบุตร ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแพร่อีกครั้งใน ค.ศ.1988 โดยแปลจากหนังสือชื่อ "Thailand and Portugal:470 Years of Friendship".งานเขียนของปินโตถูกนำเสนอในรูปแบบของร้อยแก้ว บางตอนก็ระบุว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าและการสอบถามผู้รู้ บางตอนก็ประสบด้วยตนเอง ปินโตระบุว่า การเล่าเรื่องการเดินทางของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการเรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ของโลก ไม่ใช่ประสงค์จะก่อให้เกิดความท้อถอยในการติดต่อกับดินแดนแถบเอเชีย ส่วนเฮนรี โคแกน ระบุว่าจุดมุ่งหมายในการแปลหนังสือ "Pérégrinação"จากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ คือ ต้องการให้ผู้อ่านทั่วไปเกิดความพึงพอใจ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของปินโตและโคแกนสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเหตุการณสถานที่ ทรัพยากร อารมณ์ ความรู้สึกและวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนที่ปรากฎในหนังสือ "Pérégrinação" อย่างไม่อาจมองข้ามได้ งานของปินโตจึงได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง บันทึกของปินโตนับเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับทรัพยากร การทหาร วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ กฎหมายและเรื่องราวในราชสำนักสยามกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และมักจะถูกอ้างอิงเสมอเมื่อกล่าวถึงบทบาททางการทหารของชุมชนโปรตุเกสเมื่อเกิดศึกระหว่างสยามกับเชียงใหม่ การเข้าร่วมรบในกองทัพสยามครั้งนั้นเป็นการถูกเกณฑ์ ชาวโปรตุเกสถึง 120 คน จากจำนวน 130 คน อาสาเข้าร่วมรบในกองทัพสยาม เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าเป็นศึกเมืองเชียงกรานซึ่งเกิดขึ้นในค.ศ.1538 เรื่องราวในหนังสือ Pérégrinação สอดคล้องกับงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสหลายคน ซึ่งเคยถูกจองจำและรับราชการเป็นนายทหารในกรุงศรีอยุธยาบทบาทของทหารอาสาชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชอาจส่งผลให้มีการเริ่มปรับปรุงตำราพิชัยสงครามภายใต้การช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวโปรตุเกสจนเป็นที่มาของการตั้ง "กรมทหารฝารั่งแม่นปืน" หนังสือของปินโตถูกตีพิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวางในยุโรปจึงเป็นเหตุให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ดับเบิลยู.เอ.อาร์.วูด ชี้ว่าควรจะอ่านงานเขียนของปินโตในฐานะที่เป็นเรื่องราวของชายชราที่ได้เดินทางกลับไปสู่มาตุภูมิอีกครั้งหนึ่งเพื่อความบันเทิงไม่ใช่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นวันต่อวันและตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความแม่นยำของปีศักราชในบันทึกด้วย แต่ ดึ กัมปุช อดีตกงสุลใหญ่โปรตุเกสกลับชี้ว่าหลักฐานของปินโตแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเดินทางเข้ามายังสยามจริง นักประวัติศาสตร์ไทยหลายคนเลือกใช้ข้อมูลของปินโตมาอ้างอิงโดยตลอดเช่น พระเจ้าบุเรงนองนำเอาเรื่องการขอช้างเผือกมาเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างสยามกับพม่าใน ค.ศ.1569 เป็นต้น
หนังสือ "Pérégrinação" ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสยามน้อยมาก ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่าศูนย์กลางของโปรตุเกสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ที่มะละกาปินโตจึงให้ความสำคัญมากกว่ากรุงศรีอยุธยา การที่เขามีฐานะเป็นเพียงกลาสีเรือ,นักผจญภัย ไม่ใช่พ่อค้าหรือนายทหารที่ถูกส่งเข้ามาติดต่อกับสยามโดยตรง ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือของเขาเน้นกล่าวถึงสถานที่ต่างๆตามชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกที่เขาเคยเดินทางไปถึงมากกว่า