วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
เที่ยวเกาะเกร็ด..เกาะ..กลางลำน้ำเจ้าพระยา
สัญลักษณ์ ของเกาะเกร็ดไปแล้ว นั่นคือ "วัดปรมัยยิกาวาส" (วัดปากอ่าว) ในวัดนี้มีสิ่งที่น่าชมอยู่หลายอย่าง ที่ท่าเรือหน้าวัดจะพบปราสาทไม้ห้ายอด ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งเหม (โลงศพมอญ) ของอดีตเจ้าอาวาส ตั้งตระหง่านอยู่ ส่วนพระอุโบสถมีการตกแต่งด้วยวัสดุนำเข้าจากอิตาลี ศิลปะยุโรปแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ 5 แต่กระนั้นพระองค์ยังรักษาธรรมเนียมเดิม โดยรับสั่งให้ที่นี่ริเริ่มการสวดเป็นภาษามอญ และปัจจุบัน ที่นี่เป็นวัดเดียวที่ยังเก็บรักษาพระไตรปิฏกภาษามอญไว้ พระประธานในพระอุโบสถนั้นเป็นพระปางมารวิชัย ฝีพระหัตถ์ของพระองค์เจ้าประดิษฐานวรการ ผู้ที่สร้างพระสยามเทวาธิราช รัชกาลที่ 5 ทรงยกย่องว่าพระประธานองค์นี้งามด้วยฝีพระพักตร์ดูมีชีวิตชีวาเหมือนคนจริง ด้านหลังพระอุโบสถ มีพระมหารามัญเจดีย์ จำลองแบบมาจากเจดีย์ชเวดากองของพม่า
วัดเสาธงทอง
"วัดเสาธงทอง" เป็นวัดเก่า เดิมชื่อ "วัดสวนหมาก" นอกจากเป็นที่ตั้งโรงเรียนประถมแห่งแรกของอำเภอปากเกร็ดแล้ว ด้านหลังโบสถ์ยังประดิษฐานเจดีย์ที่สูงที่สุดของอำเภอปากเกร็ดด้วย พระเจดีย์เป็นศิลปะอยุธยาย่อมุมไม้สิบสอง มีเจดีย์องค์เล็กเป็นบริวารโดยรอบอีก 2 ชั้น ส่วนด้านข้างโบสถ์มีเจดีย์องค์ใหญ่อีก 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังหรือทรงลังกา อีกองค์หนึ่งเป็นเจดีย์ทรงมะเฟือง ภายในโบสถ์มีลายเพดานสวยงามมาก เขียนลายทองกรวยเชิงอย่างงดงาม พระประธานเป็นพระปางมารวิชัยปูนปั้นขนาดใหญ่ คนมอญเรียกวัดนี้ว่า “เพี๊ยะอาล๊าต” หน้าโบสถ์มีเจดีย์ขนาดย่อมสององค์ รูปทรงคล้ายมะเฟือง ฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมสิบสอง ประดับลายปูนปั้น "วัดไผ่ล้อม" สร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย มีโบสถ์ที่งดงามมาก ลายหน้าบันจำหลักไม้เป็นลายดอกไม้ มีคันทวยและบัวหัวเสาที่งดงามเช่นกัน คนมอญเรียกวัดนี้ว่า "เพี๊ยะโต้" "วัดฉิมพลีสุทธาวาส" มีโบสถ์ขนาดเล็กงดงามมาก และยังมีสภาพสมบูรณ์แบบดั้งเดิม หน้าบันจำหลักไม้เป็นรูปเทพทรงราชรถ ล้อมรอบด้วยลายดอกไม้ ซุ้มประตูเป็นทรงมณฑป ซุ้มหน้าต่างแบบหน้านาง ยังคงเห็นความงามอยู่ และฐานโบสถ์โค้งแบบเรือสำเภา
"กวานอาม่าน" พิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผา เป็นศูนย์วัฒนธรรมพื้นบ้านชาวมอญ จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผามอญลายโบราณ การปั้นเครื่องปั้นดินเผานั้นเป็นอาชีพชาวมอญมาตั้งแต่ครั้งตั้งถิ่นฐานแถบลุ่มแม่น้ำอิรวดี และมีมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี นับเป็นหัตถกรรมพื้นบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดนนทบุรี ลวดลายประณีตสวยงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และยังเป็นสัญลักษณ์ตราประจำจังหวัดนนทบุรี สองข้างทางเดินบนเกาะมีบางบ้านที่ทำเครื่องปั้นดินเผา ภาชนะของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กระถาง ครก โอ่งน้ำ ฯลฯ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวล
ส่วนใครที่ไปเกาะเกร็ดแล้วไม่ได้รับประทาน "ทอดมันหน่อกะลา" ก็เหมือนไปไม่ถึง เพราะ "ทอดมันหน่อกะลา" ถือเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่เลยก็ว่าได้ แถมยังมีให้เลือกซื้อเลือกชิมหลายร้าน ทั้งเจ้าเก่าเจ้าใหม่ เรื่องของรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่า อร่อยไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ ตามร้านค้าสองข้างทางยังมีอาหารอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น รวมถึงของคาวอย่าง ห่อหมกปลาช่อน ห่อหมกปลากราย ไข่ปลาทอด ผักทอด พร้อมร้านขายน้ำเก๋ๆ ที่ขายน้ำพร้อมแก้วน้ำกระถาง ปั้นโดยฝีมือคนท้องถิ่นนั่นเอง และที่ขาดไม่ได้เลย คือ ร้ายจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผา โอ่ง กระถาง เซรามิกรูปร่างต่างๆ ก็มีให้เลือกซื้อเลือกชมกันอย่างละลานตา.
"คลองขนมหวาน" บริเวณคลองขนมหวานและคลองอื่นๆ รอบเกาะเกร็ด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่สองฝั่งคลองจะทำขนมหวาน จำพวกทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมหวานอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมสาธิตวิธีการทำให้นักท่องเที่ยวได้ชม พร้อมซื้อกลับไปเป็นของฝากได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แรงดึงดูดอย่างหนึ่งบนเกาะเกร็ดที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยว เดินทางมาเที่ยวที่นี่ คงหนีไม่พ้นเรื่องของอาหารการกินที่ดูจะหลากหลายมากมายกันจนลายตา (แหม... เห็นแล้วมันน่าหม่ำนักล่ะ) ไม่ว่าจะเป็น "ข้าวแช่" อาหารของชาวมอญ ที่สืบทอดสูตรกันมายาวนาน รับประทานพร้อมเครื่องเคียงครบรสที่มีให้เลือกเพียบ คือ ลูกกะปิทอด, หมูกับปลาเค็มปั้นทอด, ไชโป๊หวาน, ปลาหวาน, พริกหยวกสอดไส้, หัวหอมทอดสอดไส้ และผักชนิดต่างๆ
ส่วนใครที่ไปเกาะเกร็ดแล้วไม่ได้รับประทาน "ทอดมันหน่อกะลา" ก็เหมือนไปไม่ถึง เพราะ "ทอดมันหน่อกะลา" ถือเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่เลยก็ว่าได้ แถมยังมีให้เลือกซื้อเลือกชิมหลายร้าน ทั้งเจ้าเก่าเจ้าใหม่ เรื่องของรสชาตินั้นไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่า อร่อยไม่มีใครยอมใครกันเลยทีเดียว นอกจากนี้ ตามร้านค้าสองข้างทางยังมีอาหารอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น รวมถึงของคาวอย่าง ห่อหมกปลาช่อน ห่อหมกปลากราย ไข่ปลาทอด ผักทอด พร้อมร้านขายน้ำเก๋ๆ ที่ขายน้ำพร้อมแก้วน้ำกระถาง ปั้นโดยฝีมือคนท้องถิ่นนั่นเอง และที่ขาดไม่ได้เลย คือ ร้ายจำหน่ายเครื่องปั้นดินเผา โอ่ง กระถาง เซรามิกรูปร่างต่างๆ ก็มีให้เลือกซื้อเลือกชมกันอย่างละลานตา.
การเดินทาง
รถยนต์ เดินทางโดยรถยนต์มาที่ห้าแยกปากเกร็ด ตรงไปตามถนนแจ้งวัฒนะ ทางไปเทศบาลปากเกร็ด จากห้าแยกประมาณ 20 เมตร ก่อนถึงโรงหนังเมเจอร์ฮอลลีวู้ด เลี้ยวซ้ายเข้าถนนภูมิเวท ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงวัดสนามเหนือจอดรถทิ้งไว้ที่วัด แล้วนั่งเรือข้ามไปเกาะเกร็ด ไปขึ้นเกาะเกร็ดที่วัดปรมัยยิกาวาส หรือไปที่วัดกลางเกร็ด นั่งเรือข้ามฟากไปขึ้นเกาะเกร็ดที่วัดป่าฝ้าย (เรือข้ามฟากบริการเวลา 05.00 - 21.30 น. ค่าโดยสารคนละ 2 บาท ที่วัดสนามเหนือ มีบริการจัดที่จอดรถรถยนต์สำหรับนักท่องเที่ยว ค่าจอดรถคันละ 30 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยรถประจำทาง ให้ลงรถที่ป้ายโรงหนังเมเจอร์ฮอลลีวูด แล้วนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างไปที่ท่าเรือวัดสนามเหนือหรือวัดกลางเกร็ด ค่าโดยสารประมาณ 10 บาท
เรือ เดินทางจากกรุงเทพฯ โดยเรือด่วนเจ้าพระยาออกจากท่าวัดสิงขร ลงที่ท่าน้ำจังหวัดนนทบุรี ค่าโดยสารคนละ 22 บาท (เรือทัวร์) จากนั้นเช่าเหมาเรือหางยาวที่ท่าน้ำนนทบุรี ไปที่เกาะเกร็ด หรือนั่งเรือรถประจำทางจากท่านน้ำนนทบุรีไปที่อำเภอปากเกร็ด แล้วลงเรือที่วัดสนามเหนือหรือวัดกลาง เรือบริการระหว่างเวลา 08.30 - 18.30 น.
วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553
บทที่ 7 ตัวแทนจำหน่ายการท่องเที่ยว
บทที่ 6 ที่พักแรม
บทที่ 5 การคมนาคมขนส่ง
บทที่ 4 องค์ประกอบสำคัญของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
แนวโน้มของแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว
1. แรงจูงใจที่จะได้สัมผัสสิ่งแวดล้อม
2. แรงจูงใจที่จะได้พบปะกับคนในท้องถิ่น
3. แรงจูงใจที่จะที่จะเข้าใจวัฒนธรรมท้องถิ่นและประเทศเจ้าบ้าน
4. แรงจูงใจที่จะเสริมสร้างสัมพันธภาพภายในครอบรัว
5. แรงจูงใจที่จะได้พักผ่อนในสภาพแวดล้อมที่น่าสบาย
6. แรงจูงใจที่จะที่จะได้ทำกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสนใจและฝึกทักษะ
7. แรงจูงใจที่จะมีสุขภาพดี
8. แรงจูงใจที่จะได้รับการคุ้มกันความปลอดภัย
9. แรงจูงใจที่จะได้รับการยอมรับนับถือและได้รับสถานภาพทางสังคม
10. แรงจูงใจที่จะให้รางวัลแก่ตัวเอง
โครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
“โครงสร้างพื้นฐานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว” หมายถึง องศ์ประกอบพื้นฐานในการรองรับการท่องเที่ยวทั้งระบบถือเป็นส่วนการสนับสนุนให้การท่องเที่ยวสามารถดำเนินไปได้ด้วยดี และ ทำให้เกิดความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว
โครงสร้างพื้นฐานหลัก ๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ได้แก่
1. ระบบไฟฟ้า
2. ระบบประปา
3. ระบบสือสารโทรคมนาคม
4. ระบบการขนส่ง(ประกอบไปด้วย)
(4.1) ระบบการเดินทางอากาศ
(4.2) ระบบการเดินทางทางบก
(4.3) ระบบการเดินทางทางน้ำ
5. ระบบสาธารณสุข
ปัจจัยที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในแต่ละภูมิภาค
สภาพแวดล้อม ลักษณะ ทางวัฒนธรรม ที่มนุษย์มักต้องการเดินทางท่องเที่ยวไปยังบริเวณต่าง ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากที่ตนเองอาศัยอยู่ ส่งผลให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวไปยังบริเวณ ๆ บนผิวโลก
1. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสร้างสรรค์ภูมิทัศน์ที่เป็นสิ่งดึงดูดใจทางการท่องเที่ยวได้เป็นอย่สงมาก
1.1 ลักษณะภูมิประเทศ
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกมีได้ 2 ลักษณะ คือ
1) การเปลี่ยนแปลงจากภายในเปลือกโลก เช่น ภูเขาหรือภูเขาไฟ ซึ่งเกิดจากการตันตัวของความร้อนใต้ผิวโลก
2) การเปลี่ยนแปลงทางบริเวณผิวโลก เช่น เนินทราย (Sand Dune) ในทะเลทรายซึ่งเกิดจากลมที่พัดนำทรายมากองรวมกันเป็นเนิน
1.2 ลักษณะภูมิอากาศ
เช่นเดียวกับลักษณะภูมิประเทศ กล่าวคือ พื้นที่ที่ตั้งอยู่แตกต่างกันเมื่อพิจารณาตามส้นแลตติจูด (latitude) เช่นซีกโลกเหนือกับลบริเรณเส้นแบ่งกลางโลกหรือเส้นศูนย์สูตรจะมีสภาพภูมิอากาศแตกต่างกัน เช่นในช่วงเดือนธันวาคม ซีกโลกเหนือเช่นประเทศฟินแนด์เป็นฤดูหนาวที่หวานจัด
2. ปัจจัยทางวัฒนธรรม
วัฒนธรรม หมายถึง วิถีการดำเนินชีวิตของคนในสังคม นับตั้งแต่วิธีกิน วิธีอยู่ วิธี แต่งกาย วิธีทำงาน วิธีพักผ่อน วิธีแสดงอารมณ์ วิธีสื่อความ วิธีจรจรและขนส่ง วิธีอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะ และความสุขทางใจ โดยแนวทางการแสดงออกถึงวิถีชีวิตนั้นอาจเริ่มมาจาก เอกชนหรือบุคคลทำเป็นตัวแบบ แล้วคนส่วนใหญ่ก็ปฏิบัติต่อกันมา วัฒนธรรมย่อมเปลี่ยนแปลง ไปตามเงื่อนไขและกาลเวลาเมื่อค้นพบสิ่งใหม่ วิธีใหม่ที่ใช้แก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของสังคมได้ดีกว่า
การอนุรักษ์วัฒนธรรมดังเดิมของแต่ละชาติเปลี่ยนแปลงได้ และแต่ละชาติมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การที่วัฒนธรรมแตกต่างกันย่อมเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้กับคนต่างวัฒนธรรมเขามาเที่ยวชมความแตกต่างดังกล่าว
วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สรุปบทเรียน
ความหมาย ความสำคัญของท่องเที่ยว
นักท่องเที่ยว คือ ผู้มาเยือนชั่วคราว และพักอาศัย ณ สถานที่ที่ไปเยี่ยมอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
กลุ่มนักท่องเที่ยว ได้แก่
- ผู้ที่ถิ่นพำนักอยู่ในสถานที่ที่ไปเยือน
- ผู้ที่มีสัญชาติของประเทศนั้น
- ผู้ที่เป็นลูกเรือ ซึ่งไม่มีถิ่นพำนักในสถานที่ที่ไปเยือนมากกว่า 24 ชั่วโมง
สามารถแบ่งผู้มาเยือนตามถิ่นพำนักได้อีกเช่นกัน ได้แก่
1.ผู้มาเยื่อนขาเข้า
2.ผู่มาเยือนขาออก
3.ผู้มาเยือนภายในประเทศ
วัตถุประสงค์ของการเดินทางท่องเที่ยวแบ่งออกได้ 3 ประการใหญ่ๆ ได้แก่
1.เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานและพักผ่อน
2.เพื่อธุรกิจ
3.เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
การเดินทางเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานและพักผ่อน
เป็นการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์ต้องการความเพลิดเพลิน สนุกสนาน รื่นเริง ทั้งนี้รวมถึงการเยี่ยมเยือนเพื่อนหรือญาติมิตร
การเดินทางเพื่อธุรกิจ
เป็นการเดินทางที่ควบคู่ไปกับการทำงานแต่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบอาชีพ นอกจากนี้ยังมีความหมายรวมถึงการเดินทางเพื่อเข้าประชุม สัมมานาท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลและจัดนิทรรศการ หรือเรียกว่า MICE
ประเภทการท่องเที่ยว แบ่งตามสากลได้แก่
1.การท่องเที่ยวภายในประเทศ
2.การท่องเที่ยวเข้าในประเทศ
3.การท่องเที่ยวนอกประเทศ
การแบ่งตามลักษณะการจัดการเดินทาง แบ่งออกเป็น
1.การท่องเที่ยวแบบหมู่คณธหรือที่เรียกว่า Group Inclusive Tour การท่องเที่ยวแบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ กรุปเหมา และกรุปจัด กรุปเหมา
2.การท่องเที่ยวแบบอิสระ เรียกว่า Foreign IndiviDual Tour
การแบ่งตามวัตถุประสงค์การเดินทาง
1.การท่องเที่ยวเพื่อความเพลิดเพลินและพักผ่อน
2.การท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจ
3.การท่องเที่ยวเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ
-การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
-การท่องเที่ยวสุขภาพและกีฬา
-การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม
-การท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสชาติพันธุ์และวัฒนธรรมพื้นถิ่น
-การท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา
บทที่ 2
ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวจากยุคเริ่มต้น
ถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
วัฒนธรรมของจักรวรรดิโรมันทำให้เกิดวัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบมหาชนในคริสต์ศตวรรษที่ 2 โรมถึงจุดสูงสุดของความรุ่งเรืองจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวโรมันในยุดนั้น คือ กรีก ชาวโรมันนิยมเส้นทางไปชมความสำเร็จทางศิลปะวิทยาการของชาวกรีก
มัคคุเทศก์และคู่มือเที่ยวในยุคต้นๆ
ความถูกต้องของข้อมูลและมัคคุเทศก์ในสมัยก่อนครสตกาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 พวกด้วยกัน พวกแรกคือ พวกที่เรียกว่า Periegetai มีหน้าที่คอยต้อนฝูงนักท่องเที่ยวให้เข้ากลุ่มส่วนอีกพวกหนึ่งเรียกว่า Exegetai เป็นพวกที่ให้ข้อมูลเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินค่าตอบแทน
การท่องเที่ยวในยุคกลาง
ยุคกลางคือช่วงที่อยู่ระหว่าง คศ.500-1500 ช่วงเวลาดังกล่าวถนนหนทางถูกปล่อยให้ทรุดโทรมเศรษฐตกต่ำแต่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกยังคงเป็นศูนย์รวมของสังคมและอำนาจการเดินทางมีความลำบากมากขึ้นและอันตรายมากขึ้น วันหยุดเริ่มเข้ามีบทบาทในชีวิตของผู้คน คำว่า Holiday มีที่มาจากคำว่า Holy Days ศาสนาโรมันคาทอลิคเป็นผู้กำหนดช่วงเวลาการหยุดเพื่อการพักผ่อนให้กับผู้ที่ศรัทธา
คนชั้นสูงและคนชั้นกลางนิยมเดินทางเพื่อการแสวงบุญ เป็นการเดินทางที่ไกลขึ้นสำหรับผู้ที่เคร่งศาสนาที่ที่ผู้เสื่อมใสนิยมเดินทางไปได้แก่เมือง Winchester เมือง Walsingha และเมือง Canterbury จนกวีชื่อ Chaucer นำมาแต่งเป็นนิทานชื่อ Canterbury's Tales
นอกจากนักแสวงบุญแล้วในยุคกลางยังมีนักเดินทางประเภทนักผจญภัยซึ่งเดินทางเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ พวกพ่อค้าเดินทางเพื่อค้าขาย พวกละครเร่ นักร้องนักดนตรี ยังชีพอยู่ได้ด้วยการให้ความบันเทิงเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ศิลปินที่เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นคือ Blondel ชาวเมือง Picardy
บทที่ 3
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเดินทางนักท่องเที่ยว
แรงจูงใจ
เป็นตัวกำหนดบุคลิกภาพของบุคคลแรงจูงใจทางด้านการท่องเที่ยว หรือแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวเป็นแนวคิดที่เป็นแบบลูกผสมระหว่างแนวคิดทางจิตวิทยาผสมกับแนวคิดทางด้านสังคมวิทยา แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวจึงหมายถึงเครื่อข่าย ทั้งหมดขอพลังทามวัฒนธรรมและพลังทางชีววิทยา ซึ่งเป็นตัวกำหนอพฤติกรรมทางการท่องเที่ยว แรงจูงใจทีจะมาสัมผัสพื้นทรายล้วนเป็นพลังทางจิตวิทยา การเลือกที่จะมาพักผ่อนยังเกาะสมุยแทนที่จะไปอาบแดดและพักผ่อนที่ริเวียร่าของฝรั่งเศสอยู่ใกล้กว่าเพราะเป็นพลังทางด้านสังคมวิทยา
พลังทางด้านจิตวิทยา คือ ความต้องการการพักผ่อนจากความเหน็ดหน่อยจากการทำงาน
ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว
1.ทฤษฎีลำดับขั้นแห่งความต้องการจำเป็น เป็นทฤษฎีของ Maslow ได้แก่ ความต้องการทางด้านสรีรวิทยา ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความต้องการทางด้ารสังคม ความต้องการมีชื่อเสียง ความต้องการการสำเร็จ
2.ทฤษฎีแบบขั้นบันไดแห่งการเดินทาง เป็นทฤษฎีของ Philip Pearce โดยประยุกต์จากทฤษฎีของ Maslow ความต้องการในชั้นสูงสุดคือ ความต้องการความสำเร็จแห่งตนหรือความต้องการที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
3.แรงจูงใจวาระซ่อนเร้น เป็นทฤษฎ๊ของ Crompton มี 7 ประเภทดังต่อไปนี้
-การหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่จำเจ
-การสำรวจและการประเมินตน
-การพักผ่อน
-ความต้องการเกียรติภูมิ
-ความต้องการที่จะถ้อบกลับไปสู่สภาพดังเดิม
-กระชับความสัมพันธ์ทางเครือญาติ
-การเสริมสร้างการปะทะสังสรรค์ทางสังคม
4.แรงจูงใจทางการท่องเที่ยวในทัศนะของ Swarbrooke
-แรงจูงใจทางด้านสรีระหรือทางกายภาพ
-แรงจูงใจทางด้ายวัฒนธรรม
-การท่องเที่ยวเพื่อตอยสนองอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง
-การท่องเที่ยวเพื่อให้ได้มาเพื่อสถานภาพ
-แรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง
-แรงจูงใจส่วนบุคคล
หลักฐานของปิ่นโต
ประวัติของปิ่นโต
บันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต( Fernão Mendez Pinto ค.ศ.1509-1583) เรื่อง “Pérégrinação”ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปีค.ศ.1614 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ รวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ จนมีการใช้ชื่อของปินโตเล่นคำเชิงล้อเลียนว่าพูดจริงหรือเท็จอย่างสนุกสนานโดยชนชาติศัตรูของโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงบทบาทของทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส และการพระราชทานที่ดินให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานและปฏิบัติศาสนพิธีในสมัยอยุธยา จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบว่าหนังสือฉบับนี้มีสถานะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือเป็นเพียงนิยายผจญภัย
ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์ในราชอาณาจักรโปรตุเกส เกิดในครอบครัวยากจน การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว ในประเทษอินเดีย ค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี แล้วเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.1558 รวมระยะเวลา 21 ปี ที่ปินโตได้ไปแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้งและถูกจับเป็นทาส 13 ครั้ง ชีวิตของปินโตในขณะอยู่ในเอเชีย เขาเคยเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนภาษา เมื่อเดินทางกลับถึงโปตุเกส เขาพยามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล จากการที่เขาได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนา แต่กลับไม่ได้รับความสนใจ ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ทางตอนใต้ของโปรตุเกส และได้เขียนหนังสือชื่อว่า Pérégrinaçãoขึ้น
ปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราช ครั้งที่ 2 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระชัยราชาธิราช หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง Pérégrinação ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน จนกษัตริย์ฟิลิปที่ 1 ทรงได้ทอดพระเนตร บุตรีของปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา งานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ใน ค.ศ.1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วนในชื่อ "การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นัง มังเดซ ปินโต ค.ศ.1537-1558" แปลโดยสันต์ ท.โกมลบุตร ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแพร่อีกครั้งใน ค.ศ.1988 โดยแปลจากหนังสือชื่อ "Thailand and Portugal:470 Years of Friendship".งานเขียนของปินโตถูกนำเสนอในรูปแบบของร้อยแก้ว บางตอนก็ระบุว่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าและการสอบถามผู้รู้ บางตอนก็ประสบด้วยตนเอง ปินโตระบุว่า การเล่าเรื่องการเดินทางของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการเรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ของโลก ไม่ใช่ประสงค์จะก่อให้เกิดความท้อถอยในการติดต่อกับดินแดนแถบเอเชีย ส่วนเฮนรี โคแกน ระบุว่าจุดมุ่งหมายในการแปลหนังสือ "Pérégrinação"จากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ คือ ต้องการให้ผู้อ่านทั่วไปเกิดความพึงพอใจ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของปินโตและโคแกนสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเหตุการณสถานที่ ทรัพยากร อารมณ์ ความรู้สึกและวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนที่ปรากฎในหนังสือ "Pérégrinação" อย่างไม่อาจมองข้ามได้ งานของปินโตจึงได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง บันทึกของปินโตนับเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับทรัพยากร การทหาร วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ กฎหมายและเรื่องราวในราชสำนักสยามกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และมักจะถูกอ้างอิงเสมอเมื่อกล่าวถึงบทบาททางการทหารของชุมชนโปรตุเกสเมื่อเกิดศึกระหว่างสยามกับเชียงใหม่ การเข้าร่วมรบในกองทัพสยามครั้งนั้นเป็นการถูกเกณฑ์ ชาวโปรตุเกสถึง 120 คน จากจำนวน 130 คน อาสาเข้าร่วมรบในกองทัพสยาม เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าเป็นศึกเมืองเชียงกรานซึ่งเกิดขึ้นในค.ศ.1538 เรื่องราวในหนังสือ Pérégrinação สอดคล้องกับงานเขียนของนักประวัติศาสตร์ชาวโปรตุเกสหลายคน ซึ่งเคยถูกจองจำและรับราชการเป็นนายทหารในกรุงศรีอยุธยาบทบาทของทหารอาสาชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชอาจส่งผลให้มีการเริ่มปรับปรุงตำราพิชัยสงครามภายใต้การช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวโปรตุเกสจนเป็นที่มาของการตั้ง "กรมทหารฝารั่งแม่นปืน" หนังสือของปินโตถูกตีพิมพ์เผยแพร่อย่างกว้างขวางในยุโรปจึงเป็นเหตุให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ดับเบิลยู.เอ.อาร์.วูด ชี้ว่าควรจะอ่านงานเขียนของปินโตในฐานะที่เป็นเรื่องราวของชายชราที่ได้เดินทางกลับไปสู่มาตุภูมิอีกครั้งหนึ่งเพื่อความบันเทิงไม่ใช่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นวันต่อวันและตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความแม่นยำของปีศักราชในบันทึกด้วย แต่ ดึ กัมปุช อดีตกงสุลใหญ่โปรตุเกสกลับชี้ว่าหลักฐานของปินโตแสดงให้เห็นว่าเขาเคยเดินทางเข้ามายังสยามจริง นักประวัติศาสตร์ไทยหลายคนเลือกใช้ข้อมูลของปินโตมาอ้างอิงโดยตลอดเช่น พระเจ้าบุเรงนองนำเอาเรื่องการขอช้างเผือกมาเป็นสาเหตุของสงครามระหว่างสยามกับพม่าใน ค.ศ.1569 เป็นต้น
หนังสือ "Pérégrinação" ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสยามน้อยมาก ซึ่งอาจจะอธิบายได้ว่าศูนย์กลางของโปรตุเกสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งอยู่ที่มะละกาปินโตจึงให้ความสำคัญมากกว่ากรุงศรีอยุธยา การที่เขามีฐานะเป็นเพียงกลาสีเรือ,นักผจญภัย ไม่ใช่พ่อค้าหรือนายทหารที่ถูกส่งเข้ามาติดต่อกับสยามโดยตรง ทำให้เนื้อหาส่วนใหญ่ในหนังสือของเขาเน้นกล่าวถึงสถานที่ต่างๆตามชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกที่เขาเคยเดินทางไปถึงมากกว่า