วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สรุปบทเรียน

บทที่ 1

ความหมาย ความสำคัญของท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว คือ ผู้มาเยือนชั่วคราว และพักอาศัย ณ สถานที่ที่ไปเยี่ยมอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
กลุ่มนักท่องเที่ยว ได้แก่
- ผู้ที่ถิ่นพำนักอยู่ในสถานที่ที่ไปเยือน
- ผู้ที่มีสัญชาติของประเทศนั้น
- ผู้ที่เป็นลูกเรือ ซึ่งไม่มีถิ่นพำนักในสถานที่ที่ไปเยือนมากกว่า 24 ชั่วโมง
สามารถแบ่งผู้มาเยือนตามถิ่นพำนักได้อีกเช่นกัน ได้แก่
1.ผู้มาเยื่อนขาเข้า
2.ผู่มาเยือนขาออก
3.ผู้มาเยือนภายในประเทศ
วัตถุประสงค์ของการเดินทางท่องเที่ยวแบ่งออกได้ 3 ประการใหญ่ๆ ได้แก่
1.เพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานและพักผ่อน
2.เพื่อธุรกิจ
3.เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ
การเดินทางเพื่อความเพลิดเพลินสนุกสนานและพักผ่อน
เป็นการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์ต้องการความเพลิดเพลิน สนุกสนาน รื่นเริง ทั้งนี้รวมถึงการเยี่ยมเยือนเพื่อนหรือญาติมิตร
การเดินทางเพื่อธุรกิจ
เป็นการเดินทางที่ควบคู่ไปกับการทำงานแต่มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบอาชีพ นอกจากนี้ยังมีความหมายรวมถึงการเดินทางเพื่อเข้าประชุม สัมมานาท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลและจัดนิทรรศการ หรือเรียกว่า MICE
ประเภทการท่องเที่ยว แบ่งตามสากลได้แก่
1.การท่องเที่ยวภายในประเทศ
2.การท่องเที่ยวเข้าในประเทศ
3.การท่องเที่ยวนอกประเทศ
การแบ่งตามลักษณะการจัดการเดินทาง แบ่งออกเป็น
1.การท่องเที่ยวแบบหมู่คณธหรือที่เรียกว่า Group Inclusive Tour การท่องเที่ยวแบบนี้แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ กรุปเหมา และกรุปจัด กรุปเหมา
2.การท่องเที่ยวแบบอิสระ เรียกว่า Foreign IndiviDual Tour
การแบ่งตามวัตถุประสงค์การเดินทาง
1.การท่องเที่ยวเพื่อความเพลิดเพลินและพักผ่อน
2.การท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจ
3.การท่องเที่ยวเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ
-การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ
-การท่องเที่ยวสุขภาพและกีฬา
-การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม
-การท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสชาติพันธุ์และวัฒนธรรมพื้นถิ่น
-การท่องเที่ยวเพื่อการศึกษา





บทที่ 2

ประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวจากยุคเริ่มต้น
ถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

วัฒนธรรมของจักรวรรดิโรมันทำให้เกิดวัฒนธรรมการท่องเที่ยวแบบมหาชนในคริสต์ศตวรรษที่ 2 โรมถึงจุดสูงสุดของความรุ่งเรืองจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวที่สำคัญของชาวโรมันในยุดนั้น คือ กรีก ชาวโรมันนิยมเส้นทางไปชมความสำเร็จทางศิลปะวิทยาการของชาวกรีก

มัคคุเทศก์และคู่มือเที่ยวในยุคต้นๆ
ความถูกต้องของข้อมูลและมัคคุเทศก์ในสมัยก่อนครสตกาลอาจแบ่งออกได้เป็น 2 พวกด้วยกัน พวกแรกคือ พวกที่เรียกว่า Periegetai มีหน้าที่คอยต้อนฝูงนักท่องเที่ยวให้เข้ากลุ่มส่วนอีกพวกหนึ่งเรียกว่า Exegetai เป็นพวกที่ให้ข้อมูลเพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินค่าตอบแทน

การท่องเที่ยวในยุคกลาง
ยุคกลางคือช่วงที่อยู่ระหว่าง คศ.500-1500 ช่วงเวลาดังกล่าวถนนหนทางถูกปล่อยให้ทรุดโทรมเศรษฐตกต่ำแต่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกยังคงเป็นศูนย์รวมของสังคมและอำนาจการเดินทางมีความลำบากมากขึ้นและอันตรายมากขึ้น วันหยุดเริ่มเข้ามีบทบาทในชีวิตของผู้คน คำว่า Holiday มีที่มาจากคำว่า Holy Days ศาสนาโรมันคาทอลิคเป็นผู้กำหนดช่วงเวลาการหยุดเพื่อการพักผ่อนให้กับผู้ที่ศรัทธา
คนชั้นสูงและคนชั้นกลางนิยมเดินทางเพื่อการแสวงบุญ เป็นการเดินทางที่ไกลขึ้นสำหรับผู้ที่เคร่งศาสนาที่ที่ผู้เสื่อมใสนิยมเดินทางไปได้แก่เมือง Winchester เมือง Walsingha และเมือง Canterbury จนกวีชื่อ Chaucer นำมาแต่งเป็นนิทานชื่อ Canterbury's Tales
นอกจากนักแสวงบุญแล้วในยุคกลางยังมีนักเดินทางประเภทนักผจญภัยซึ่งเดินทางเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ พวกพ่อค้าเดินทางเพื่อค้าขาย พวกละครเร่ นักร้องนักดนตรี ยังชีพอยู่ได้ด้วยการให้ความบันเทิงเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ศิลปินที่เป็นที่รู้จักกันดีในสมัยนั้นคือ Blondel ชาวเมือง Picardy





บทที่ 3

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเดินทางนักท่องเที่ยว

แรงจูงใจ
เป็นตัวกำหนดบุคลิกภาพของบุคคลแรงจูงใจทางด้านการท่องเที่ยว หรือแรงจูงใจของนักท่องเที่ยวเป็นแนวคิดที่เป็นแบบลูกผสมระหว่างแนวคิดทางจิตวิทยาผสมกับแนวคิดทางด้านสังคมวิทยา แรงจูงใจของนักท่องเที่ยวจึงหมายถึงเครื่อข่าย ทั้งหมดขอพลังทามวัฒนธรรมและพลังทางชีววิทยา ซึ่งเป็นตัวกำหนอพฤติกรรมทางการท่องเที่ยว แรงจูงใจทีจะมาสัมผัสพื้นทรายล้วนเป็นพลังทางจิตวิทยา การเลือกที่จะมาพักผ่อนยังเกาะสมุยแทนที่จะไปอาบแดดและพักผ่อนที่ริเวียร่าของฝรั่งเศสอยู่ใกล้กว่าเพราะเป็นพลังทางด้านสังคมวิทยา
พลังทางด้านจิตวิทยา คือ ความต้องการการพักผ่อนจากความเหน็ดหน่อยจากการทำงาน
ทฤษฎีต่างๆเกี่ยวกับแรงจูงใจของนักท่องเที่ยว
1.ทฤษฎีลำดับขั้นแห่งความต้องการจำเป็น เป็นทฤษฎีของ Maslow ได้แก่ ความต้องการทางด้านสรีรวิทยา ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย ความต้องการทางด้ารสังคม ความต้องการมีชื่อเสียง ความต้องการการสำเร็จ
2.ทฤษฎีแบบขั้นบันไดแห่งการเดินทาง เป็นทฤษฎีของ Philip Pearce โดยประยุกต์จากทฤษฎีของ Maslow ความต้องการในชั้นสูงสุดคือ ความต้องการความสำเร็จแห่งตนหรือความต้องการที่ได้รับความพึงพอใจสูงสุด
3.แรงจูงใจวาระซ่อนเร้น เป็นทฤษฎ๊ของ Crompton มี 7 ประเภทดังต่อไปนี้
-การหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่จำเจ
-การสำรวจและการประเมินตน
-การพักผ่อน
-ความต้องการเกียรติภูมิ
-ความต้องการที่จะถ้อบกลับไปสู่สภาพดังเดิม
-กระชับความสัมพันธ์ทางเครือญาติ
-การเสริมสร้างการปะทะสังสรรค์ทางสังคม
4.แรงจูงใจทางการท่องเที่ยวในทัศนะของ Swarbrooke
-แรงจูงใจทางด้านสรีระหรือทางกายภาพ
-แรงจูงใจทางด้ายวัฒนธรรม
-การท่องเที่ยวเพื่อตอยสนองอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง
-การท่องเที่ยวเพื่อให้ได้มาเพื่อสถานภาพ
-แรงจูงใจในการพัฒนาตนเอง
-แรงจูงใจส่วนบุคคล

1 ความคิดเห็น:

  1. รูปแบบใช้ได้ เนื้อหาผ่าน แต่ไม่น่าอ่าน เพราะจำแนกเป็นข้อย่อยๆ มากมาย ไม่เป็นประโยค

    อ.พิทยะ

    ตอบลบ